Bookmark and Share Add to Favorites  
สมาคม
  LIN (SURNAME)
   China's Lin Clan Network
   Chaoshan Lin
   สมาคมตระกูลลิ้มแห่งประเทศไทย
  ชุมชนชาวฮากกา
หนังสือพิมพ์
  ซินหัวไทย
  China Daily
  China News
  People's Daily Online
  Xinhua
  China Youth Daily
  Bangkokpost
  มติชน
  ไทยรัฐ
  เดลินิวส์
  ผู้จัดการ
  คมชัดลึก
  กรุงเทพธุรกิจ
  บ้านเมือง
  แนวหน้า
  ไทยโพสต์
  โพสต์ทูเดย์
  สยามรัฐ
  บางกอกทูเดย์
  โลกวันนี้
  เส้นทางเศรษฐกิจ
  มติชนสุดสัปดาห์
มุมนักเสี่ยงโชค
  ตรวจผลสลากกินแบ่งรัฐบาล
  ตรวจสลากย้อนหลัง
  ผลสลากออมสิน
  ธกส.ออมทรัพย์ทวีสิน
แลกเปลี่ยนเงินตราและหุ้น
  ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
  ธนาคารไทยพาณิชย์
  ธนาคารกรุงเทพ
  ตลาดหลักทรัพย์ - หุ้น
  ตลาดหุ้น
เว็บเครือข่าย
  สมบูรณ์อินโฟ
  ภูเก็ตสารสนเทศ
  สมบูรณ์แก่นโน้ต

หลินเปียว 林彪

 

 

 

        หลินเปียว 林彪 เป็น จอมพล หนึ่งในไม่กี่คนสมัยสาธารณรัฐประชาชนจีน เขาได้ชื่อว่า เป็นบิดาแห่งการรบแบบกองโจร เขารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง     

        หลินเปียว 林彪  ถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ก่อนที่ราชวงศ์ชิงจะถูกโค่นล้มสลายเมื่อพ.ศ. ๒๔๕๔ จากครอบครัวแซ่หลิน บิดาเป็นเจ้าของที่ดินขนาดเล็กในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย นอกจากนี้ยังมีโรงงานขนาดเล็กอีกด้วย แต่ต้องถูกทำลายลงด้วยพวกนายทุนขุนศึก หลินเปียวเป็นคนรูปร่างผอมสูง ใบหน้ารูปไข่ ผิวคล้ำ ขนคิ้วดกดำ ใบหน้าค่อนข้างหล่อเหลา  เป็นคนขี้อาย เคร่งขรึม ไม่ค่อยพูดมาก สติปัญญาเฉลียวฉลาด  

        ชีวิตครอบครัวของหลินเปียว หลินเปียวแต่งงานกับเย่ฉวิน 叶群 มีบุตรสองคนคือ   บุตรสาวหลินลี่เหิง 林立恒 หรือ หลินโต่วโต้ว 林豆豆 ถือกำเนิดเมื่อพ.ศ. ๒๔๘๗ และบุตรชายชื่อ หลินลี่กั๋ว 林立果 ถือกำเนิดเมื่อพ.ศ. ๒๔๘๘

         ภายหลังที่ราชวงศ์ชิงถูกโค่นล้มสลาย บ้านเมืองกำลังเปลี่ยนผ่าน แต่หลินก็ยังได้รับการศึกษา สมัยเป็นเด็ก เขาได้รับการศึกษาเบื้องต้นจากโรงเรียนใกล้บ้าน เมื่ออยู่ชั้นมัธยม เขาได้สมัครเป็นสมาชิกกลุ่มเยาวชนสังคมนิยม เมื่อพ.ศ. ๒๔๖๘ เมื่ออายุได้ ๑๘ ปี

           เมื่อสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมแล้วเขาเดินทางไปสมัครเป็นนักเรียนทหารที่สถาบันการทหารหวั่มปั๋ว หรือ หวงผู่จวินเชี่ยว 黃埔軍校 เมืองกว่างโจว มณฑลกว่างตง เมื่อพ.ศ. ๒๔๖๙ โดยมีเจียงไคเช็คเป็นครูฝึกซึ่งรับช่วงมาจาก ดร.ซุนยัดเซ็น ที่สถาบันแห่งนี้เขาได้รู้จักกับโจวเอินไหลอีกด้วย

        เขาเรียนอยู่ได้ไม่เต็มปี ก็ได้รับคำสั่งให้ไปดำเนินการแทรกซึม กลุ่มนายทุนขุนศึกทางภาคเหนือในถิ่นชนบท จนได้รับตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าหมวดกองทหาร เขาดำเนินการเพียงไม่กี่เดือนก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายพัน

           ในปีพ.ศ. ๒๔๗๐ เจียงไคเช็คได้แยกตัวออกจากกลุ่มคอมมิวนิสต์ หลินเปียวจึงแยกตัวไปอยู่กลุ่มเหมาเจ๋อตุงและจูเต๋อ ปีพ.ศ. ๒๔๗๑ และก่อตั้งกองทัพแดง ( Red Army) ในปีนี้เขาได้รับยศเป็นนายพัน  ผู้บังคับกองพันทหารกองทัพปฏิวัติแห่งชาติ ซึ่งอายุไม่ถึง ๒๐ ปีด้วยซ้ำ

             เขาได้รับตำแหน่งบังคับบัญชากองพลที่ ๑ มีปืนไรเฟิลสองหมื่นกระบอก ด้วยเทคนิคการสู้รบอย่างชาญฉลาดของหลินกับกองทัพก๊กมินตั๋ง ปืนทั้งหมดไม่ได้รับความเสียหายหรือสูญหายแม้แต่กระบอกเดียว

            ในขณะที่เขาเป็นผู้บัญชาการรบ เขารักษาหน้าที่อย่างดี ไม่เคยออกไปนอกประเทศจีนเลย เขาพูดและเขียนภาษาจีน  ก่อนอายุ ๓๐ ปี เขาได้รับการยอมรับการสู้รบจากกองทัพแดง เขาได้เขียนบทความทางทหารลงในวารสารกองทัพแดง ได้รับการวิจารณ์อย่างกว้างขวาง ต่อมาได้รับการนำไปตีพิมพ์เป็นภาษาญี่ปุ่นและภาษารัสเซียอีกด้วย

 

            การเดินทางไกล ( Long March ) ฝ่ายเจียงไคเช็คหัวหน้าพรรคก๊กมินตั๋ง พยายามขับไล่พวกนิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ออกจากองค์กร เพราะกลุ่มนี้พยายามสร้าง เจียงซี – โซเวียตขึ้นในประเทศจีน กลุ่มชาตินิยม มีเหมาเจ๋อตุงเป็นผู้นำ เหมาจึงพยายามหาสถานที่เหมาะที่จะตั้งป้อมต่อสู้กับพวกก๊กมินตั๋ง กองทัพของเหมาจึงเดินทางขึ้นไปทางทิศตะวันตกและทิศเหนือ ในเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ เรียกว่า การเดินทางไกล หรือลองมาร์ช มีเหมาเจ๋อตุง หลินเปียว โจวเอินไหล จูเต๋อ หลี่เซียนเหนียน เติ้งเสี่ยวผิง เหอหลง เฉินอี้ หลิวโปเฉิง เผิงเต๋อฮวย เน่ยหยงเจิน เย่เจียนอิง หยางซ่างคุน หลิวเช่าฉี ตงปี้อู่ เป็นต้น และทหารกว่าแสนคน ผู้หญิง ต่างขนสัมภาระ แบกหาม รถม้า ลา ร่วมเดินทางจากภาคใต้สู่ภาคเหนือและภาคตะวันตก ทั้งนี้แบ่งเป็นกองทัพย่อยๆเป็นกองทัพที่หนึ่งที่สองฯลฯ หลินเปียวเป็นผู้นำกองทัพที่หนึ่ง ส่วนเหมาเป็นผู้นำกองทัพที่สาม ผู้เดินทางต้องเดินทางผ่านทางทุรกันดาร ผ่านเทือกเขาสูงที่ปกคลุมด้วยหิมะ ผ่านหุบเหวหนทางแคบๆ ผ่านหนองคลองบึง  โดยเดินทางวันละ ๕๐ ไมล์ รวมระยะทาง ๑๒๕๐๐ กิโลเมตรหรือ ๘๐๐๐ ไมล์(บางตำนานว่า ๖๐๐๐ ไมล์ หรือ ๑๘๐๐๐ ลี้) โดยเริ่มจากมณฑลเจียงซีจนถึงมณฑลส่านซี  เป็นเวลา ๓๘๔ วัน บางตำนานว่า ๓๗๐ วัน

                 เขาได้บังคับบัญชากองทัพแดง ต่อสู้กับกองทัพก๊กมินตั๋งอยู่ถึง ๒ ปี จนถึงขั้นแตกหักที่เมืองหยานอ้านในเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙

        หลินเปียวกับเปิ้งเต๋อหวย ได้รับการยอมรับว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญการรบในกองทัพแดง ทั้งสองสนับสนุนเหมาในการเถลิงอำนาจ แต่อย่างไรก็ตาม หลินเปียวไม่ค่อยจะพอใจในยุทธวิธีของเหมามากนัก ในปีพ.ศ. ๒๔๗๘ ช่วง”การเดินทางไกล” พวกเขาติดตามเหมาเพื่อทำกิจกรรมทางการเมือง เปิงเต๋อหวยมีอายุแก่กว่าหลินเปียว ๑๐ ปี ทั้งสองคนต่างช่วงชิงการเป็นหัวหน้า แต่หลินไม่ได้แสดงอาการออกนอกหน้า ต่างคนต่างแสดงภารกิจในการสั่งผู้ใต้บังคับบัญชา หลินเปียวไม่มีเรื่องที่ทำให้คนใต้บังคับบัญชาเดือดร้อน ทุกคนเชื่อฟังเขา ผู้ใต้บังคับของเขาเชื่อฟังเขาเมื่อเขาพูดหรือสั่ง

        เหล่าบรรดาหัวหน้ากองทัพในช่วงเดินทางไกล มิได้แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญเฉลียวฉลาดในฐานะความเป็นหัวหน้ากองพลให้ปรากฏ แต่พวกเขาก็ปฏิบัติภาระกันได้ดี

       ส่วนหลินเปียว เป็นผู้เชี่ยวชาญในยุทธวิธีการหลอกล่อ การแปลงโฉมหน้า การทำให้ข้าศึกตกตะลึง การซุ่มโจมตี การโอบตีขนาบข้าง การจู่โจมทางข้างหลัง และวิธีรุกรบแบบพลิกแพลง เล่ห์เหลี่ยมอย่างหาตัวจับยาก ซึ่งแตกต่างจากนายพลเปิ้งเต๋อหวยอย่างสิ้นเชิง

        กับเหมา หลินแสดงให้เห็นว่า ตัวเขาเป็นหนึ่งในกองทัพแดงที่ไม่เคยได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบแม้แต่น้อยนิด ทั้งๆที่เขาต้องรบอยู่แนวหน้าเป็นร้อยๆครั้ง ในสนามรบที่เขาต้องบังคับบัญชากว่า ๑๐ ปี ซึ่งลูกน้องเขาเข้าใจดี จนฝ่ายตรงกันข้ามตั้งค่าหัวเขาถึงหนึ่งแสนเหรียญสหรัฐ  เขาก็ยังปกติดี ไม่ได้รับบาดเจ็บและสุขภาพแข็งแรงดีด้วย

        สงครามจีนกับญี่ปุ่นพ.ศ. ๒๔๘๐ หลินในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชากองพลที่ ๑๑๕ ของกองทัพแดงที่ ๘ หลินได้ซุ่มโจมตีข้าศึกที่เมืองปิงซิงกวน เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ ซึ่งถือเป็นสงครามหนึ่งในหลายๆครั้งที่ประสบชัยชนะเหนือข้าศึกของจีน  จากสงครามครั้งนี้ ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง อย่างไรก็ตาม หลินได้รับบาดเจ็บสาหัสในปีพ.ศ. ๒๔๘๑ เขาจึงขอไปเป็นผู้บังคับการโรงเรียนคอมมิวนิสต์ทหารที่เมืองหยานอ้าน แต่ความเจ็บป่วยไม่ทุเลา เขาจึงจำต้องเดินทางไปรักษาตัวที่ เมืองมอสโคว ประเทศรัสเซีย ระหว่างพ.ศ. ๒๔๘๒ - ๒๔๘๕  แล้วกลับมาปฏิบัติหน้าที่ที่เมืองหยานอ้าน

         ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว ได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในจีน ระหว่างพ.ศ. ๒๔๘๘ - ๒๔๙๒ หลินได้รับตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการโปลิตบูโรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บังคับบัญชากองทัพแดงสู้กับกองทัพแมนจูเรีย กองทัพของเขาได้รับชัยชนะ เขาได้ปลดปล่อยมณฑลนี้ แล้วได้ติดตามกองทัพของประธานเหมาด้วยการสู้รบแบบกองโจร จนได้รับชัยชนะ ซึ่งมีชาวนาในชนบทให้การสนับสนุนเขา

          ฐานะทางการเมืองของหลินเปียวระหว่างพ.ศ. ๒๔๙๓ - ๒๔๙๙ ไม่ปรากฏชัด กล่าวกันว่า เขาอาจจะเจ็บป่วย ฝ่ายแพทย์ประจำตัวคือ นายแพทย์หลี่จื่อสุ้ยเขากล่าวว่า สมองของหลินไม่สมดุล มากกว่าการเจ็บป่วยทางกาย แต่เขาก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกโปลิตบูโร ระหว่างสงครามเกาหลี พ.ศ. ๒๔๙๓ หลินเปียวได้ส่งทหารอาสาสมัครไปช่วย ซึ่งทำความประหลาดใจให้กับนายพลแมคอาเธอร์มาก ด้วยวิธีทางเทคติก ทำให้สหประชาชาติและสหรัฐอเมริกาต้องถอนทหารออกจากเกาหลี เขาได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกโปลิตบูโรอีกสมัยในปีพ.ศ. ๒๔๙๙ และหลังจากนั้นหนึ่งปีได้รับตำแหน่งนายพลทหารประจำกองทัพ

        หลินเปียวได้รับตำแหน่ง จอมพล เมื่อพ.ศ. ๒๔๙๘ เป็นหนึ่งในการเดินทางไกลและการสู้รบ ที่ได้รับตำแหน่ง จอมพล ในกองทัพสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งมีจำนวนจอมพลน้อยมาก

        ระหว่างสงครามโลกครั้งที่๒ หลินเปียวกลับเข้ามาเคลื่อนไหวที่แมนจูเรีย ภายใต้อิทธิพลของกลุ่มเจียงไคเช็ค โดยเขารับงานจากเหมาเจ๋อตุง ให้ทำการรบแบบกองโจร ปฏิบัติการรบแบบกองโจรของเขาทำให้เขาชนะกลุ่มชาตินิยมของเจียงไคเช็คทุกเมืองที่ผ่าน เขาทำการรบจนชนะใจกลุ่มชาวนาชนบทที่ให้การสนับสนุน เขาได้ปิดล้อมกองทัพของเจียงไคเช็ค ทำให้กลุ่มเจียงไคเช็คทางเหนือ ต้องตัดขาดการติดต่อกับกลุ่มเจียงไคเช็ค กองพลหน่วยรบที่๔ กองทัพแดงของเขาเข้ายึด ปักกิ่ง อู่ฮั่น และกว่างโจวได้เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ กองทัพคอมมิวนิสต์ก็เข้าครองประเทศจีนทั้งหมด ภายในหนึ่งปี เขาได้ดักจับทหารอเมริกันและพวกที่เป็นทหารของเจียงไคเช็คได้ ๓๖ คน

        หลินเปียวได้ขยับตำแหน่งขึ้นไประหว่างปีพ.ศ. ๒๕๐๐ - ๒๕๐๙ แต่ด้วยเหตุที่สุขภาพของเขาไม่ค่อยจะดีนัก เขาจึงต้องไปรักษาตัวที่ประเทศรัสเซีย จนหายแล้วกลับมาเคลื่อนไหวใหม่ในปีพ.ศ.๒๕๐๑ และได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกโปลิตบูโรในอันดับที่ ๗

          พ.ศ. ๒๕๐๑ เป็นรองประธานคณะกรรมการกลางของพรรค

        ในปีพ.ศ. ๒๕๐๒ จีนมีปัญหานโยบายกับสหภาพโซเวียตรัสเซีย ระหว่างหลินกับเปิ้งเต๋อหวย ประธานเหมาตัดสินใจเลือกหลินให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เขาจึงได้พัฒนากองทัพเป็นแบบรัสเซีย แล้วยกเลิกชั้นยศ

         ในปีพ.ศ. ๒๕๐๘ ได้มีการปฏิวัติวัฒนธรรมเพื่อล้างบางประเทศ ช่วงนี้หลินเปียวทำงานใกล้ชิดกับประธานเหมามาก ได้โปรโมตทฤษฎีของเหมา เขาได้รวบรวมแนวความคิดของเหมา มาทำเป็นหนังสือคู่มือเล่มเล็กปกแดงเรียกว่า “คำถามของประธานเหมา” ซึ่งชาวจีนทุกคนต้องติดตัวไว้ตลอด  เขาได้เขียนคำนำไว้ว่า “ศึกษาข้อเขียนของเหมา ตามที่เขาสอน และปฏิบัติตามคำสอนของเขา”

        ต่อมาได้มีการปรับปรุงการปฏิวัติวัฒนธรรม โดยเหมามอบให้หลิวเช่าฉี ผู้เป็นทายาททางการเมือง และเป็นรองประธานต่อจากเหมา เป็นหัวหน้าปฏิวัติวัฒนธรรม ในปีพ.ศ. ๒๕๐๙ แทนหลินเปียว

          เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๒ นายพลหลิวเช่าฉีถูกปลดจากตำแหน่ง หลินจึงได้รับอำนาจทางทหารทั้งหมด และเป็นทายาททางการเมืองรองจากประธานเหมา

        ช่วงต้นปี ระหว่างพ.ศ. ๒๕๑๓ เขาให้คำขวัญใหม่ว่า “สอนกองทัพเสียใหม่” ตามคำสอนของเหมา

        ในเมื่อวันที่ ๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๓ ประธานเหมาได้เดินทางไปภาคใต้เพื่อพูดคุยกับผู้สนับสนุนพรรค จากสุนทรพจน์ของเหมาตอนหนึ่งว่า เขาไม่สบายใจเกี่ยวกับความขัดแย้งของหลินเปียวกับมาดามเจียงชิงภรรยาของเหมา ที่ลู่ซานในปีพ.ศ. ๒๕๑๓ เหมาคิดว่า หลินเปียวจะไม่เชื่อคำสอนของเขาอีกต่อไปและจะโต้แย้งตลอด เพราะหลินเปียวกับกลุ่มนายพลพวกเขาไม่ยอมรับการวิพากษ์ของเหมาและหลินเปียวเองไม่ยอมวิจารณ์ตนเองด้วย แต่ข่าวอีกส่วนกล่าวว่า หลินเปียวกำลังวางแผนที่จะยึดอำนาจทำรัฐประหาร

                ครอบครัวหลินเปียว ได้พักผ่อนครั้งสุดท้ายที่ เป่ยไต้เหอ ซึ่งเป็นที่พักชายทะเล ช่วงวันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๔ ครอบครัวของเขากำลังฉลองพิธีหมั้นของบุตรสาว และกำลังชมภาพยนตร์อยู่ แต่หลังจากสามทุ่มไปแล้ว ของวันนั้น เหตุการณ์ก็เปลี่ยนไป เมื่อบุตรชายคือ หลินลี่กั๋ว กลับจากปักกิ่ง บอกบิดามารดาถึงเรื่องประธานเหมาได้เน้นย้ำเกี่ยวกับความคิดของบิดาตน

 

 

หลินเปียว เย่ฉวินภรรยา หลินลี่เหิงบุตรสาว หลินลี่กั๋วบุตรชาย

 

 

วาระสุดท้ายของชีวิต ที่ยังคลุมเครือ

 

        ข่าวกล่าวว่าในตอนเย็นของวันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๔ โจวเอินไหลได้พบเอกสารลับ “ตรีศูล256 Trident 256” มีถึงหลินเปียวที่เมืองตากอากาศเป่ยไต้เหอ กลางดึกคืนนั้นเมื่อหลินเปียวทราบจึงพร้อมด้วยบุตรชายหลินลี่กั๋วและนางเย่ฉวิน ตรงไปสนามบินซานไห่กวน ลี้ภัยจะเข้าประเทศสหภาพโซเวียตรัสเซีย

        แต่เครื่องบินได้บินไปถึงชายแดนมองโกเลียนอกกับรัสเซีย ปรากฏว่าน้ำมันหมด เครื่องบินตกใกล้เมืองอุนตุรกานพรมแดนมองโกเลียนอก ทั้งสามคนเสียชีวิตหมด ในวันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๔

       

        ข่าวการถึงแก่อนิจกรรมของหลินเปียว ทางการไม่ได้ประกาศให้ประชาชนจีนรู้ จนรุ่งขึ้นอีกปีจึงได้ประกาศ

        ผลงานเขียน ภาพถ่าย สื่อทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับหลินเปียวถูกเก็บกวาดหมดสิ้น และไม่มีสื่อใดกล้าเขียนเอ่ยชื่อถึงเขา

       

ข้อมูลบางประการ

 

        ๑.   โปรเจ็กต์ 571  PROJ ECT571  五七一工

                   โปรเจ็ก571 เป็นชื่อรหัสเพื่อเตรียมการรัฐประหาร ยึดอำนาจการปกครองจากประธานเหมาเจ๋อตุง ในปีพ.ศ. ๒๕๑๔ โดยกลุ่มผู้สนับสนุนหลินเปียว กล่าวกันว่า หลินลี่กั๋ว นายทหารอากาศระดับสูง บุตรชายหลินเปียวเป็นหัวหน้า มีเพื่อนนายทหารระดับสูงร่วมด้วย คือ โจวอี้ชึ  อี้ชินเย่ และหลี่เว่ยชิน โดยร่วมกันวางแผนเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๔ ที่นครเซี่ยงไฮ้ ข่าวกล่าวว่า หลินเปียวไม่มีส่วนรู้เห็นเป็นใจกับเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ข่าวว่า หลินกำลังจะถูกปลดเพื่อเปลี่ยนอำนาจทายาททางการเมืองหมายเลขสองไปมอบให้จางชุนเฉียว คำว่าโปรเจ็ก571 น่าจะหมายถึง กองทัพลุกขึ้นมาต่อสู้

        ๒.   ที่ภูเขาลู่ซาน มีการประชุมคณะกรรมการกลางพรรค ครั้งที่ ๙ ในเดือนสิงหาคม – กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๔ เฉินปั๋วต้าได้ทำเอกสารเสนอหลินเปียว เพื่อให้เขาก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งประธานประเทศ เมื่อประธานเหมาทราบเรื่องนี้ จึงได้เริ่มวิพากษ์เฉินปั๋วต้าและหลินเปียว ในขณะเดียวกัน โจวเอินไหลได้นำคำกล่าวของเหมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไปกล่าวในที่ประชุมพรรคทางภาคเหนือด้วย

        ๓.    ผลของนักวิจัยคนหนึ่งเกี่ยวกับการตายของหลินเปียวกล่าวว่า เหมาได้เชิญหลินไปรับประทานอาหารค่ำที่บ้านพักเชิงเขา ในช่วงของการประชุมพรรคแห่งหนึ่ง หลังจากการพูดจาและล่ำลากันแล้ว หลินขึ้นรถของเขาพร้อมขบวนรถผู้ติดตาม ลงจากเนินเขาห่างจากบ้านพักของเหมาประมาณหนึ่งไมล์ มีทหารหมู่หนึ่งกำลังซุ่มรออยู่ พร้อมด้วยอาวุธจรวด ๖๐ ม.ม.จำนวน ๔ ลูก และจรวดขนาด ๘๐ ม.ม. จำนวน ๒ ลูก เมื่อขบวนรถของหลินมาถึงที่กำหนด จึงถูกยิงตายทั้งหมด

        ส่วนข่าวที่เครื่องบินตกอาจเป็นบุตรชายคือหลินลี่กั๋วพร้อมมารดาและผู้ติดตาม

          ๔   ที่เมืองหางโจว มีพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่ง กล่าวว่าเป็นที่หลินเปียวกับกลุ่มนายพลมาวางแผนโค่นล้มเหมาที่นี่ มีเตียงนอน สถานที่ทำงาน ตึกที่ทำการนายพล แต่นักวิชาการประวัติศาสตร์บางท่านที่เป็นบุตรหลานผู้ร่วมก่อการไม่เชื่อว่าจะเป็นความจริง เพราะกลุ่มนายพลไม่ได้มาวางแผนที่นั่นแต่ประการใด

         ๕.  นักประวัติศาสตร์หลายท่านกล่าวว่า เหมาไม่สบายใจเกี่ยวกับที่หลินเปียวมีกำลังทางทหารมากเกินไป อาจจะทำให้หลินเปียวคิดหักหลังทรยศก็ได้

        ๖.   ในฐานะที่หลินเปียวเป็นทายาททางการเมืองอันดับสองรองจากประธานเหมา แน่นอนว่า หลายคนไม่พอใจ เช่น กลุ่มนางเชียงชิงหรือแก๊งสี่คน นอกจากนี้ต่างทราบกันดีว่า นายโจวเอินไหลไม่ชอบหน้าหลินเปียวมานานแล้ว

         ๗.   หลังจากหลินเปียวถึงแก่อนิจกรรมแล้ว ประธานเหมาเก็บตัว ไม่ยอมออกสมาคมเป็นเวลาหลายเดือน

 

สุนทรพจน์ของหลินเปียว

 

ตัวอย่าง

     หลินเปียวได้กล่าวสุนทรพจน์ เนื่องในโอกาสจัดมหกรรมครบรอบปีที่ ๑๗ ของการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน

 

 

            “ในนามของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของพวกเรา ท่านประธานเหมา คณะกรรมการพรรค และรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน

 

 

             ข้าพเจ้ามีความรู้สึกอบอุ่นใจที่จะยกย่องผู้ใช้แรงงาน ชาวนา และทหาร ครู นักเรียนผู้ปฏิวัติ เรดการ์ดผู้ปฏิวัติ และองค์กรเยาวชนทหาร ประชาชนผู้ปฏิวัติทุกกลุ่มเชื้อชาติ และกลุ่มผู้ให้การสนับสนุนการปฏิวัติทั่วประเทศ และยินดีต้อนรับเพื่อนของพวกเราจากประเทศต่างๆทั่วโลก...”

 

 

            นอกจากนี้เขายังได้นำสุนทรพจน์ของประธานเหมามากล่าวด้วยว่า “...ประชาชนทั่วโลก ผู้มีความกล้าหาญ กล้าที่จะต่อสู้ ไม่ยอมจำนนต่อความยากลำบากและได้รับความก้าวหน้า คลื่นลูกแล้วลูกเล่า ในที่สุด โลกทั้งมวลก็จะเป็นของประชาชน อสูรทั้งหลายก็จะถูกกำจัดออกไป...”

 

 

 

 

 

           “…สหายและเพื่อนทั้งหลาย

 

 

                   การที่พวกเราได้สัมฤทธิผลและประสบผลสำเร็จทั้งหมดนั้น ด้วยภายใต้ประธานเหมา ผู้นำที่ชาญฉลาด และแสดงถึงความสำเร็จของแนวความคิดแบบเหมาเจ๋อตุง เราต้องใช้ความคิดของท่านเหมาเจ๋อตุงมาหลอมรวมกับความคิด ของมวลพรรคและความคิดของประชาชนทั้งประเทศ พวกเราต้องยึดถือร่มธงความยิ่งใหญ่ แห่งแนวความคิดท่านเหมาเจ๋อตุง แล้วนำมาประมวล เพื่อศึกษาอย่างสร้างสรรค์ แล้วดัดแปลงแนวความคิดของท่านเหมาเจ๋อตุงไปใช้ทั่วประเทศ เราต้องปรับเปลี่ยนประเทศไปเป็นโรงเรียนที่ยิ่งใหญ่ ตามแนวความคิดของท่านเหมาเจ๋อตุง เราต้องสร้างประเทศของเราให้ยิ่งใหญ่ ให้ก้าวไปสู่ประเทศที่มีพลังอำนาจที่เหนือกว่า และเป็นประเทศที่มั่งคั่งกว่า นี่คือความปรารถนาของประชาชนชาวจีนในประเทศของเรา เช่นเดียวกันกับความหวังของประชาชนประเทศอื่นๆทั่วโลก...”

 

 

 

 

 

“...ขอให้ประชาชนทุกเชื้อชาติในประเทศจีน จงเจริญ

 

 

...ขอให้มวลประชาชนผู้ยิ่งใหญ่ทั่วโลก จงเจริญ

 

 

...ขอให้ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน จงเจริญ

 

 

...ขอให้พรรคคอมมิวนิสต์จีน จงเจริญ

 

 

...ขอให้แนวความคิดของท่านประธานเหมาเจ๋อตุงสว่างรุ่งโรจน์ตลอดไป

 

 

...ขอให้ท่านประธานเหมาผู้ยิ่งใหญ่ เจริญ ยิ่ง ยิ่งขึ้นไปตลอดชีวิตของท่านด้วยเทอญ...”

 

     สุนทรพจน์ของหลินเปียวแสดงที่การชุมนุมมวลชนทั่วประเทศที่ปักกิ่ง ๑ ตุลาคม ๒๕๐๙

 .........

 

       

 

 

     จากตำนานของหลินเปียว “รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง” เขาไม่เคยแพ้สงครามแบบกองโจรแม้แต่ครั้งเดียว ทำให้ประธานเหมาเจ๋อตุงชื่นชมเขามาก และได้เลื่อนตำแหน่งทางทหารอย่างรวดเร็ว

     เขาเป็น จอมพล เป็นหนึ่งในไม่กี่คนในสมัยสาธารณรัฐประชาชนจีน

      เขาปฏิบัติภารกิจทางทหารปฏิวัติปฏิรูปประเทศอยู่  43  ปี

     เขาได้รับการกล่าวถึงอีกครั้งตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๔๗ เป็นต้นมา ผลงาน ประวัติ ภาพถ่ายได้นำมาจัดแสดงอีกครั้งที่พิพิธภัณฑ์การทหาร

 

           :   สมบูรณ์ แก่นตะเคียน    ๗  มีนาคม  ๒๕๕๔

 

           :  Lin Biao

 

 

             :  Somboon Kantakian  

 

 

 

 

 

 

บทความอื่นๆ ในหมวดเดียวกัน